วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ลักษณะคำประพันธ์ "บทขับลำนำของไทยทรงดำ"




คำร้องหรือบทขับกลอนฟ้อนแคนในการฟ้อนแคนของไทยทรงดำจะมีตั้งแต่การร้องเชิงสนุกสนาน หรือบทชมโฉม หรือบทกล่าวล่ำลา ซึ่งได้แปลเป็นภาษาไทย มีเนื้อหาดังนี้
บทขับกลอนฟ้อนแคน(เชิงสนุกสนาน)



หมอปี่เอย....อย่างเพิ่มเมื่อยแขน หมอแคนเอย....อย่างเพิ่งเมื่อยก้อย
จะยกสาวน้อยให้หนุ่มหมอแคน
สู้เขา....สู้เขา....พวกเราสู้เขา ถ้าสู้ไม่ได้กลับบ้านก่อน

อีกสิบสองเดือนมาสู่กันใหม่
อย่าถอย...อย่าถอย...ไม้จิ้มหอยพวกเราอย่างทิ้ง เอาไว้ไปจิ้มพรุ่งนี้....มะรืนนี้

ให้เขาร่ำลือ มะรื่น...มะเรื่อง เอาไว้จิ้มก้น เจ้าหนุ่มเอย....
สนุกจริงโว้ย สนุกจริงหวา ตั้งแต่เล่นมาไม่เหมือนวันนี้

รู้อย่างนี้ เล่นแต่เมื่อวาน
คิ้วโก่งเป็นวงพะจันทร์ กะทิมันๆ น้ำตาลหวานเอย..แม่คนงามใส่สร้อยเต็มแขน


แม่คนงามแหวนเต็มนิ้วมือเอย....
ชาย สาวหัวทรายมีคนเดียวนี่เหรอ แม่ยอดกระทืออ่อนลง
หญิง สาวหัวทรายมีคนเดียวนี่แหละ จะเอาไปแลกหนุ่ม
ชาย ช่อมะกอกแม่ดอกจำปี ผู้สาวคนสวยไม่ออกมารำ
หญิง รำอยู่นี่ก็ไม่เห็นเหรอ หลับหูหลับตาก็ว่าเรื่อยไป



การเล่นอิ้นกอนฟ้อนแคน หรือเล่นคอนฟ้อนแคน ซึ่งบทรำแคนดังตัวอย่างนี้ เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งจะมีบทขับร้องกันมากมายแล้วแต่โอกาส หรือประเภทที่ละเล่นนั้นๆ การเล่น อิ้นกอนฟ้อนแคนจะเลิกเล่นเมื่อถึงเวลาพลบค่ำใกล้ดึก เมื่อเลิกเล่นแล้ว "ฝูงกอน"หรือคณะกลุ่มที่เล่น จะมีบทขับร้องแสดงการขอบคุณเจ้าภาพ ภายหลังจากผ่านการเล่น "อิ้นกอนฟ้อนแคน" กันแล้ว ในตอนค่ำค่อนข้างดึกจะมีประเพณี "วานสาว" โดยเชิญชวนหญิงสาวมานั่งล้อมวงเอาผ้าคลุมศีรษะจนมิดชิดมิให้เห็นหน้า ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวเหล่านั้นมาเป็นคู่สนทนาคล้ายๆกับการเสี่ยงทาย เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการแย่งชิงหรือหึงหวง หลังจากชายหนุ่มแต่ละคนเลือกคู่สนทนาได้แล้ว จะมีการสนทนากันเป็นคู่สองต่อสองในมุมใดมุมหนึ่ง ของบริเวณบ้านแต่ต้องอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่เพื่อป้องกันมิให้มีการผิดผี การสนทนากันนั้นจะใช้ระยะเวลานานเท่าใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความพอใจของคนทั้งสองคนหลังจากเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้านในตอนดึกหรืออาจจะในวันรุ่งขึ้น

ก่อนที่ "ฝูงกอน" จะกลับบ้าน ประเพณีของคนโซ่งกลุ่มเจ้าของบ้านและกลุ่มสาว ๆ จะต้องมีการขับและรำแคนล่ำลาบรรดาหนุ่มต่างถิ่นและพร้อมกับอวยพรให้ประสพโชคดีดังมี เนื้อหาในบทเพลง ดังนี้


"เจ้าหนุ่มเอย....ขอให้สูไปดีอย่ามีป่วยไข้ เดินทางข้ามป่าไม้ไปอย่าเป็นไข้ตัวเหลือง ให้ไปดีมีชัยมีโชค ข้ามเนินดินอย่าให้มีเหตุมีภัย ถ้าหนุ่มคนใดหล่อขอให้มีเมียเป็นร้อย หนุ่มน้อยขอให้มีอุ่นเน้อ....เดินทางไกลให้มีชัยข้างหน้า ให้ได้พบสาวๆ แล้วอย่าลืมสาวหัวทรายเน้อ... เดินทางกลับเห็นงู สิงห์ เสือ ผ่านทางมาอย่าฆ่านะ บางทีจะเป็น "ผีขวัญ" ของน้องก็เป็นได้ อย่าไปฆ่าเขาเลย......"

หลังจากหนุ่มโซ่งกลับถึงบ้านและมีจิตใจรักใคร่สาวโซ่งคนใดแล้ว ก็จะย้อนไปหาอีก แต่ไปแบบกลุ่มเล็กๆ ไม่เอิกเริกเหมือนไปเล่น "อิ้นกอนฟ้อนแคน" ในการกลับไปหาอีกครั้ง หนุ่มโซ่งจะต้องให้เกียรติฝ่ายสาวและจะถามว่ายินดีจะต้อนรับหรือไม่ วิธีการนี้เรียกว่า "การนำแนว" เมื่อฝ่ายหญิงสาวอนุญาต จึงจะย้อนกลับไปอีกครั้งเรียกว่า "การลงข่วง" จะมีการนั่งสนทนากันในลานข่วง ซึ่งหญิงสาวจะทอผ้า ปั่นด้าย หรือปักผ้า และจะคบหาดูใจกันพอสมควรแล้วจะมีการสู่ขอแต่งงานกันในภายหลัง

นอกจากนี้ ยังมีบทขับหลังจากทำพิธีกรรมป้าดตงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีการให้พรเพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งพิธีป้าดตง ก็คือ พิธีกรรมเซ่นไหว้ผีเรือน พิธีป้าดตงข้าวใหม่ หรือพิธีกรรมป้าดตงปีใหม่

เป็นต้น โดยมีบทขับให้พรอย่างย่อ เช่น บทขับ ให้พรเวลาป้าดตง พิธีกรรมปีใหม่

ข้าวนาตงสุกเหลือง ข้าวนาเฟืองสุกป้อม เวนแหลยังปง เวนตงยังป้าด ป้าดตงเฮ่าอ้าย เฮ่าเอ็มกินแล้ว เฮ่าอยู่ดีมีแฮง เฮ่าเฒ่าแก่มั่นยืน เฮ่าโยโยยิ่งยิ่งเน้อ......

นอกจากนี้ยังมีบทขับที่ร้องเพื่อขอให้เจ้าภาพจัดอาหารให้กินในตอนเย็นที่เรียกว่า "แก่มกินงาย"มีเนื้อร้องง่ายๆ ดังนี้

"โกนสม้ายโฏนหลายกนเฮาเอย เฮาก็เจือกันลุกถุนขึ้นเมื่อมางเสียเยอลุกล่างเมื่อใด เจือกันขึ้นใดไม้ปุกเต็มแปะมาเยอ เจอกันขึ้นใดไม้แป้นไม้แปะเต็มหาม ยอตีนบางยำแป้น แอ่นแอ้นเมือตกกางเฮือน ตกกางเฮือนกางฮานหมู่เหล่าตกหมู่ข้าวหอมอ่อนแลงงายเจ้าของเฮือนนายบอหน่ายก็เฉ่งเย่อด่านิ่งเปียง เฮืองเยอด่าเฮียงแจบปานแหนบน้อยกำสร้อยใสถง ไอ้ใดมีมีดมีดาบ จึงให้ปง ไอ้ใดมีถงจังให้ห้อยๆได้ ไอ้ใดมีดาบน้อยให้ห้อยใส่ตะปู ไอ้ใดมีเจื่องของดูยกขอวางไว้เอาห้อยใส่ไม้ตามขื่อแปลานเสียเออ ขึ้นเจือแปงจีแก่วงจูด้วน ขึ้นเฮ้อนเจ้าปี่น้องจี่แก่มดายอัน จีแก่มเติงผู้เอาสาดลงปู จีแก่มเติงผู้เอายูลงแผ่ว จี่แก่มเติงน้ำเต้าแก้วขั
นเหมาะลงปง จี่แก่มเติงผู้กำหมาใส่ขันตีแก่มเติงผุกำหวันใส่มั้ง จี่แก่มเติงปู่จอมซั้งป้าปูปายจานใหม่ล้อ จี่แก่มเติงน้ำน้ำเหี่ยอันสวยตีน จี่แก่มเติงน้ำกินอันสวยหน้า จี่แก่มเติ่งผ้าผืนน้อยอันเจ็ดเหือสีใด จี่แก่มเติงผู้ผ้าตัวฝ่าฟื้นเจ้าข้าว จี่แก่มเติงเจ้าปี่น้องผู้แต่งดาปาน จี่แก่มเติ่งถกสิอันแปงกาย จี่แก่มเติ่งหัวใดอันแปงขึ้น จี่แก่มตั้งแต่พื้นได้ลางเมือเฮือน จี่แก่มเติ่งตงถ่ายขางเรียนรำกักได้ ไม้บอแป้ไม้เมืองหลุมสิกอัน กาดานแนเป็นกาดานไม้แก้ว เซาตั้งขึ้นแล้วมุงจากสังกะสี เซากายเฮ็ดดีคือเฉือนไตหลังกว้างเซาล้างเอ็ดไว้ถ่าหว่าปีน้องผู้ลุกหลักมาหยาม พาหล่ำเบิงเถิงพึงถางได้เซาเกาะซอบกล ดังพึงบนแกะลวดลายเป็นห้อง ขึ้นเฮือนเจ้าปีน้องจี่แก่มตาย หวะไปซ้ายบ่อเห็นสักจ่ามกา หวะไปขวาบอเห็นสักจ่ามหย้า"

"เซาเอากาเบื้องมุงล้าเป็นแป้นแปเดียว จีแก่มเติบข้าวดอมเล้าดอมแกงนางดำ เอาไปดำหนิ่งสะใฃม้มือเอาดังมือแถน เอาเสิงมาแรดเอาฮำเอามุงลายอำมาใส่เอาข้าว หม่าใส่คุปีตื่นจ้าวซาวใส่ใหหนึ่งไม้เจาะอายเอาะแล้วจังปงอายลงแล้วยังเก่า เถ่าใส่ดังลายไม้แต้มไขว่ไปมา ยิงฮาจีแก่มไปหลายมันหวดฮาจีเต่าหยุดยั้งให้แปงฮาไปเบิ่ง...หาแลงก่อนเนอ"

มีความหมายโดยสรุปได้ดังนี้

"เมื่อถึงหน้าเก็บเกี่ยวข้างก็เก็บเกี่ยวข้าวไว้กินในยุ้ง เอาไว้นกินตลอดปี หากมีผู้ใดมาขโมยข้าวของน้อง จงเก็บมีดไว้ตามฝาบ้าน เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว ถ้าพี่มาหาน้อง เจ้าจงหุงข้าวไว้รอพี่ด้วยบ้านที่อยู่อาศัยพี่จะปลูกกระดานด้วยไม้แก้ว มุงด้วยสังกะสีจะทำบ้านให้กว้าง หากผุ้ใดมาเยี่ยมเยียนก็จะได้ชื
่นชม มองไปอีกหลังก็มุงด้วยกระเบื้อง บ้านทั้งสองนี้อยู่ติดันเหมือนบ้านแฝด ให้น้องจงทำกับข้าว ทำแกงส้มหน่อไม้ แกงปลาไหล ตักน้ำใส่เต็มโอ่ง ทำขนมถั่วงา ขนมจันอับ นำผักเสี้ยนมาดอเอาไว้กิน น้องจงทำไว้รอพี่ด้วยแล้วพี่จะกลับมาหาเจ้า"

การละเล่นของชาวไทยโซ่งนอกจากจะมีบทเพลงที่ใช้ขับแล้ว ยังมีดนตรีที่มีส่วนช่วยให้ความสนุกสนาน เพื่อเป็นตัวเดินทำนองให้เลื่อนไหลไปที่มีความไพเราะ ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายว่า "ดนตรีคือเสียงที่ประกอบกันเป็นทำนองเพลงเครื่องบรรเลงซึ่งมีเสียงดังทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน หรือเกิดอารมณ์รัก โศก หรือรื่นเริงเป็นต้น ได้ตามทำนองเพลง" ดังนั้น ดนตรีจึงเป็นศิลปะที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยอาศัยเสียงเป็นสื่อในการถ่ายทอดความรู้สึกของศิลปิน ศิลปินถ่ายทอดอารมณ์ลงไปสู่ผู้ฟังได้ดี ดนตรีไม่ว่าชาติใดล้วนมีพื้นฐานมาจากการเรียบเรียงจังหวะ ทำนอง สีสันของเสียงและคีตลักษณ์ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตนไปยังผู้ฟัง ความแตกต่างในรายละเอียดขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละสังคม กรอบของวัฒนธรรมแต่ละสังคมเป็นปัจจัยที่กำหนดรสนิยม และค่านิยมของแต่ละสังคมอีกด้วย


ลักษณะการละเล่นเพลงพื้นบ้านของชาวไทยทรงดำ หรือลาวโซ่ง


ไม่มีความคิดเห็น: