วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความสำคัญและความเป็นมา





ลักษณะบ้านเรือนของชาวไทยทรงดำ หรือ เรือนลาวโซ่ง





จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นดินแดนที่โดดเด่นทางด้านวัฒนธรรมอย่างหลากหลายมาตั้งแต่สมัยอดีตเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีหลากหลายชาติพันธุ์อพยพมาอยู่รวมกันจนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีมากที่สุดคือไทยทรงดำ หรือลาวโซ่ง ส่วนไทยพวน ไทยละว้า ไทยพื้นถิ่น ไทยเชื้อสายจีน ไทยคลั่ง(ลาวชี ลาวครั่ง) ไทยเวียง ไทยเขมร ไทยกะเหรี่ยง ไทยญวน ก็ยังมีอยู่แต่ไม่มากเท่าไร เพราะบางกลุ่มชาติพันธุ์ก็ถูกวัฒนธรรมในเมืองเข้าไปรบกวน แต่ชาวไทยทรงดำ หรือลาวโซ่ง หรือไทยโซ่ง หรือไทยดำ ซึ่งมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะชาติพันธุ์ สามารถรักษาอัตลักษณ์ของตนเองไว้ได้ ภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์วัฒนธรรมต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา




กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 10 กลุ่มชาติพันธุ์นั้น กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ ดูจะยังคงรักษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของตนเองไว้ได้อย่างแนบแน่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดี มีชื่อเสียงและกิจกรรมที่โดดเด่น แม้ในเพลงลูกทุ่งหลายๆ เพลงที่กล่าวถึงอยู่บ่อยๆเช่น เพลงอเมชซิ่งสุพรรณ ขับร้องโดยเสรี รุ่งสว่าง ที่ว่า "ไปเถิดนะแจ่มจันทร์ ไปเที่ยวสุพรรณยามค่ำ ตะวันต่ำๆดูไทยทรงดำลำแคน" นอกจากนี้ในงานสำคัญๆของท้องถิ่นหรือระดับจังหวัดเช่นงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์และงานกาชาดจังหวัดสุพรรณบุรี ก็จะจัดให้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของไทยทรงดำ



ลักษณะการแต่งกายของชาวไทยทรงดำ



ชาวไทยทรงดำที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรีนั้น มีการใช้ภาษาไทยทรงดำตั้งแต่ครั้งที่ตั้งถิ่นฐานอยู่สิบสองปันนาแล้ว และเมื่อไทยทรงดำได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว คนเหล่านี้ก็ได้นำเอาอักษรและภาษาของตนเข้ามาใช้ด้วย เวลาผ่านมาหลายร้อยปีที่อยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี เขาก็ยังคงใช้กัน ส่วนภาษาพูดของชาวไทยทรงดำในจังหวัดสุพรรณบุรีนั้น ก็ยังคงใช้กันในหมู่ผู้เฒ่าผู้แก่จนถึงปัจจุบัน ส่วนลูกหลานนั้นจะพูดภาษากลางมากกว่า นอกจากจะพูดกับพ่อแม่หรือพูดกันในเครือญาติจึงจะพูดภาษาไทยทรงดำเท่านั้น เพราะลูกหลานไทยทรงดำในจังหวัดสุพรรณบุรีนั้น ได้เข้าโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือจึงทำให้ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยทรงดำมากนัก ส่วนภาษาเขียนนั้นจะมีการจดบันทึกไว้ในสมุดไทยต่อๆ กันมา โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมต่าง ๆ โดยส่วนมากจะบันทึกไว้ตามผู้ประกอบพิธีกรรมหรือผู้นำหมู่บ้าน แต่ชาวไทยทรงดำในจังหวัดสุพรรณบุรีส่วนใหญ่ หรืออาจกล่าวได้ว่าเกือบจะทั้งหมด ไม่สามารถเขียนภาษาไทยทรงดำได้ จึงน่าเป็นห่วงว่าในอนาคตภาษาเขียนของชาวไทยทรงดำ จะสูญหายไป ชาวไทยทรงดำในจังหวัดสุพรรณบุรี ยังมีการรักษาเอกลักษณ์เพลงพื้นบ้านของไทยทรงดำเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น เช่น ที่หมู่บ้านดอนมะนาว อำเภอสองพี่น้อง โดยจะเห็นได้จากการที่เวลาแขกบ้านแขกเมืองมาเยือนถิ่นดอนมะนาว ชาวดอนมะนาวจะมีการต้อนรับ ด้วยกวีลาวและบทเพลงต่าง ๆ เช่น บทขับลำนำของไทยทรงดำ หรือแอ่วลาว ในการเล่นคอนฟ้อนแคนของไทยทรงดำ




บทขับหรือแอ่วลาวในการเล่นคอนฟ้อนแคนที่ผู้ศึกษาได้รวบรวมขึ้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทขับที่อยู่ในความทรงจำของไทยทรงดำ ซึ่งได้มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน หรือเรียบเรียง เพิ่มเติมใหม่ ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงบทขับเดิม บทขับผู้ร้องจะเรียกว่า "หมอขับ" จะต้องมีความสามารถในการร้อง และต้องได้รับการฝึกฝนมาให้เป็นผู้ขับที่มีความสามารถ จะต้องร้องรับได้ถูกต้องตรงกับเสียงของแคนที่ส่งมาตามเสียงของแคน ว่ามีโทนเสียงใด ผู้ขับจะต้องขับให้ตรงกับเสียงแคนนั้น ลายแคนสุดสะแนน และเวียงจะเป็นพื้นฐานของเพลงแคนที่ใช้ในการฟ้อน แคนชมดง และแคนแมลงภู่ตอมดอก เนื้อร้องของการขับ จะเป็นการเกี้ยวพาราสีระหว่างชายหญิง เป็นการชมธรรมชาติ ชมนก ชมไม้ด้วยเหตุผลเดียวกับบทเพลงรำวงหรือรำโทนของคนไทยในยุคก่อน ในบางจังหวัดบทขับร้องเหล่านั้น โดยปกติเป็นบทเชิญชวน บทสัพยอกหยอกเย้า บทชมโฉม และบทรำพันรัก ระหว่างหนุ่มสาวตลอดจนบทพร่ำรัก บทขับของไทยโซ่งบ้านดอนมะนาว อำเภอสองพี่น้อง ก็เป็นในทำนองเดียวกันทั้งลักษณะการเล่น ความหมายของบทเพลง การใช้ถ้อยคำสัมผัส ความคงอยู่ ความสูญหาย และการเกิดขึ้นใหม่ จึงเป็นเหตุผลที่ยืนยันได้ว่า ลักษณะของบทขับลำนำของไทยทรงดำในการเล่นฟ้อนแคน จึงเป็นการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับรำวง





ลักษณะคำประพันธ์ "บทขับลำนำของไทยทรงดำ"




คำร้องหรือบทขับกลอนฟ้อนแคนในการฟ้อนแคนของไทยทรงดำจะมีตั้งแต่การร้องเชิงสนุกสนาน หรือบทชมโฉม หรือบทกล่าวล่ำลา ซึ่งได้แปลเป็นภาษาไทย มีเนื้อหาดังนี้
บทขับกลอนฟ้อนแคน(เชิงสนุกสนาน)



หมอปี่เอย....อย่างเพิ่มเมื่อยแขน หมอแคนเอย....อย่างเพิ่งเมื่อยก้อย
จะยกสาวน้อยให้หนุ่มหมอแคน
สู้เขา....สู้เขา....พวกเราสู้เขา ถ้าสู้ไม่ได้กลับบ้านก่อน

อีกสิบสองเดือนมาสู่กันใหม่
อย่าถอย...อย่าถอย...ไม้จิ้มหอยพวกเราอย่างทิ้ง เอาไว้ไปจิ้มพรุ่งนี้....มะรืนนี้

ให้เขาร่ำลือ มะรื่น...มะเรื่อง เอาไว้จิ้มก้น เจ้าหนุ่มเอย....
สนุกจริงโว้ย สนุกจริงหวา ตั้งแต่เล่นมาไม่เหมือนวันนี้

รู้อย่างนี้ เล่นแต่เมื่อวาน
คิ้วโก่งเป็นวงพะจันทร์ กะทิมันๆ น้ำตาลหวานเอย..แม่คนงามใส่สร้อยเต็มแขน


แม่คนงามแหวนเต็มนิ้วมือเอย....
ชาย สาวหัวทรายมีคนเดียวนี่เหรอ แม่ยอดกระทืออ่อนลง
หญิง สาวหัวทรายมีคนเดียวนี่แหละ จะเอาไปแลกหนุ่ม
ชาย ช่อมะกอกแม่ดอกจำปี ผู้สาวคนสวยไม่ออกมารำ
หญิง รำอยู่นี่ก็ไม่เห็นเหรอ หลับหูหลับตาก็ว่าเรื่อยไป



การเล่นอิ้นกอนฟ้อนแคน หรือเล่นคอนฟ้อนแคน ซึ่งบทรำแคนดังตัวอย่างนี้ เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งจะมีบทขับร้องกันมากมายแล้วแต่โอกาส หรือประเภทที่ละเล่นนั้นๆ การเล่น อิ้นกอนฟ้อนแคนจะเลิกเล่นเมื่อถึงเวลาพลบค่ำใกล้ดึก เมื่อเลิกเล่นแล้ว "ฝูงกอน"หรือคณะกลุ่มที่เล่น จะมีบทขับร้องแสดงการขอบคุณเจ้าภาพ ภายหลังจากผ่านการเล่น "อิ้นกอนฟ้อนแคน" กันแล้ว ในตอนค่ำค่อนข้างดึกจะมีประเพณี "วานสาว" โดยเชิญชวนหญิงสาวมานั่งล้อมวงเอาผ้าคลุมศีรษะจนมิดชิดมิให้เห็นหน้า ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวเหล่านั้นมาเป็นคู่สนทนาคล้ายๆกับการเสี่ยงทาย เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการแย่งชิงหรือหึงหวง หลังจากชายหนุ่มแต่ละคนเลือกคู่สนทนาได้แล้ว จะมีการสนทนากันเป็นคู่สองต่อสองในมุมใดมุมหนึ่ง ของบริเวณบ้านแต่ต้องอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่เพื่อป้องกันมิให้มีการผิดผี การสนทนากันนั้นจะใช้ระยะเวลานานเท่าใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความพอใจของคนทั้งสองคนหลังจากเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้านในตอนดึกหรืออาจจะในวันรุ่งขึ้น

ก่อนที่ "ฝูงกอน" จะกลับบ้าน ประเพณีของคนโซ่งกลุ่มเจ้าของบ้านและกลุ่มสาว ๆ จะต้องมีการขับและรำแคนล่ำลาบรรดาหนุ่มต่างถิ่นและพร้อมกับอวยพรให้ประสพโชคดีดังมี เนื้อหาในบทเพลง ดังนี้


"เจ้าหนุ่มเอย....ขอให้สูไปดีอย่ามีป่วยไข้ เดินทางข้ามป่าไม้ไปอย่าเป็นไข้ตัวเหลือง ให้ไปดีมีชัยมีโชค ข้ามเนินดินอย่าให้มีเหตุมีภัย ถ้าหนุ่มคนใดหล่อขอให้มีเมียเป็นร้อย หนุ่มน้อยขอให้มีอุ่นเน้อ....เดินทางไกลให้มีชัยข้างหน้า ให้ได้พบสาวๆ แล้วอย่าลืมสาวหัวทรายเน้อ... เดินทางกลับเห็นงู สิงห์ เสือ ผ่านทางมาอย่าฆ่านะ บางทีจะเป็น "ผีขวัญ" ของน้องก็เป็นได้ อย่าไปฆ่าเขาเลย......"

หลังจากหนุ่มโซ่งกลับถึงบ้านและมีจิตใจรักใคร่สาวโซ่งคนใดแล้ว ก็จะย้อนไปหาอีก แต่ไปแบบกลุ่มเล็กๆ ไม่เอิกเริกเหมือนไปเล่น "อิ้นกอนฟ้อนแคน" ในการกลับไปหาอีกครั้ง หนุ่มโซ่งจะต้องให้เกียรติฝ่ายสาวและจะถามว่ายินดีจะต้อนรับหรือไม่ วิธีการนี้เรียกว่า "การนำแนว" เมื่อฝ่ายหญิงสาวอนุญาต จึงจะย้อนกลับไปอีกครั้งเรียกว่า "การลงข่วง" จะมีการนั่งสนทนากันในลานข่วง ซึ่งหญิงสาวจะทอผ้า ปั่นด้าย หรือปักผ้า และจะคบหาดูใจกันพอสมควรแล้วจะมีการสู่ขอแต่งงานกันในภายหลัง

นอกจากนี้ ยังมีบทขับหลังจากทำพิธีกรรมป้าดตงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีการให้พรเพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งพิธีป้าดตง ก็คือ พิธีกรรมเซ่นไหว้ผีเรือน พิธีป้าดตงข้าวใหม่ หรือพิธีกรรมป้าดตงปีใหม่

เป็นต้น โดยมีบทขับให้พรอย่างย่อ เช่น บทขับ ให้พรเวลาป้าดตง พิธีกรรมปีใหม่

ข้าวนาตงสุกเหลือง ข้าวนาเฟืองสุกป้อม เวนแหลยังปง เวนตงยังป้าด ป้าดตงเฮ่าอ้าย เฮ่าเอ็มกินแล้ว เฮ่าอยู่ดีมีแฮง เฮ่าเฒ่าแก่มั่นยืน เฮ่าโยโยยิ่งยิ่งเน้อ......

นอกจากนี้ยังมีบทขับที่ร้องเพื่อขอให้เจ้าภาพจัดอาหารให้กินในตอนเย็นที่เรียกว่า "แก่มกินงาย"มีเนื้อร้องง่ายๆ ดังนี้

"โกนสม้ายโฏนหลายกนเฮาเอย เฮาก็เจือกันลุกถุนขึ้นเมื่อมางเสียเยอลุกล่างเมื่อใด เจือกันขึ้นใดไม้ปุกเต็มแปะมาเยอ เจอกันขึ้นใดไม้แป้นไม้แปะเต็มหาม ยอตีนบางยำแป้น แอ่นแอ้นเมือตกกางเฮือน ตกกางเฮือนกางฮานหมู่เหล่าตกหมู่ข้าวหอมอ่อนแลงงายเจ้าของเฮือนนายบอหน่ายก็เฉ่งเย่อด่านิ่งเปียง เฮืองเยอด่าเฮียงแจบปานแหนบน้อยกำสร้อยใสถง ไอ้ใดมีมีดมีดาบ จึงให้ปง ไอ้ใดมีถงจังให้ห้อยๆได้ ไอ้ใดมีดาบน้อยให้ห้อยใส่ตะปู ไอ้ใดมีเจื่องของดูยกขอวางไว้เอาห้อยใส่ไม้ตามขื่อแปลานเสียเออ ขึ้นเจือแปงจีแก่วงจูด้วน ขึ้นเฮ้อนเจ้าปี่น้องจี่แก่มดายอัน จีแก่มเติงผู้เอาสาดลงปู จีแก่มเติงผู้เอายูลงแผ่ว จี่แก่มเติงน้ำเต้าแก้วขั
นเหมาะลงปง จี่แก่มเติงผู้กำหมาใส่ขันตีแก่มเติงผุกำหวันใส่มั้ง จี่แก่มเติงปู่จอมซั้งป้าปูปายจานใหม่ล้อ จี่แก่มเติงน้ำน้ำเหี่ยอันสวยตีน จี่แก่มเติงน้ำกินอันสวยหน้า จี่แก่มเติ่งผ้าผืนน้อยอันเจ็ดเหือสีใด จี่แก่มเติงผู้ผ้าตัวฝ่าฟื้นเจ้าข้าว จี่แก่มเติงเจ้าปี่น้องผู้แต่งดาปาน จี่แก่มเติ่งถกสิอันแปงกาย จี่แก่มเติ่งหัวใดอันแปงขึ้น จี่แก่มตั้งแต่พื้นได้ลางเมือเฮือน จี่แก่มเติ่งตงถ่ายขางเรียนรำกักได้ ไม้บอแป้ไม้เมืองหลุมสิกอัน กาดานแนเป็นกาดานไม้แก้ว เซาตั้งขึ้นแล้วมุงจากสังกะสี เซากายเฮ็ดดีคือเฉือนไตหลังกว้างเซาล้างเอ็ดไว้ถ่าหว่าปีน้องผู้ลุกหลักมาหยาม พาหล่ำเบิงเถิงพึงถางได้เซาเกาะซอบกล ดังพึงบนแกะลวดลายเป็นห้อง ขึ้นเฮือนเจ้าปีน้องจี่แก่มตาย หวะไปซ้ายบ่อเห็นสักจ่ามกา หวะไปขวาบอเห็นสักจ่ามหย้า"

"เซาเอากาเบื้องมุงล้าเป็นแป้นแปเดียว จีแก่มเติบข้าวดอมเล้าดอมแกงนางดำ เอาไปดำหนิ่งสะใฃม้มือเอาดังมือแถน เอาเสิงมาแรดเอาฮำเอามุงลายอำมาใส่เอาข้าว หม่าใส่คุปีตื่นจ้าวซาวใส่ใหหนึ่งไม้เจาะอายเอาะแล้วจังปงอายลงแล้วยังเก่า เถ่าใส่ดังลายไม้แต้มไขว่ไปมา ยิงฮาจีแก่มไปหลายมันหวดฮาจีเต่าหยุดยั้งให้แปงฮาไปเบิ่ง...หาแลงก่อนเนอ"

มีความหมายโดยสรุปได้ดังนี้

"เมื่อถึงหน้าเก็บเกี่ยวข้างก็เก็บเกี่ยวข้าวไว้กินในยุ้ง เอาไว้นกินตลอดปี หากมีผู้ใดมาขโมยข้าวของน้อง จงเก็บมีดไว้ตามฝาบ้าน เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว ถ้าพี่มาหาน้อง เจ้าจงหุงข้าวไว้รอพี่ด้วยบ้านที่อยู่อาศัยพี่จะปลูกกระดานด้วยไม้แก้ว มุงด้วยสังกะสีจะทำบ้านให้กว้าง หากผุ้ใดมาเยี่ยมเยียนก็จะได้ชื
่นชม มองไปอีกหลังก็มุงด้วยกระเบื้อง บ้านทั้งสองนี้อยู่ติดันเหมือนบ้านแฝด ให้น้องจงทำกับข้าว ทำแกงส้มหน่อไม้ แกงปลาไหล ตักน้ำใส่เต็มโอ่ง ทำขนมถั่วงา ขนมจันอับ นำผักเสี้ยนมาดอเอาไว้กิน น้องจงทำไว้รอพี่ด้วยแล้วพี่จะกลับมาหาเจ้า"

การละเล่นของชาวไทยโซ่งนอกจากจะมีบทเพลงที่ใช้ขับแล้ว ยังมีดนตรีที่มีส่วนช่วยให้ความสนุกสนาน เพื่อเป็นตัวเดินทำนองให้เลื่อนไหลไปที่มีความไพเราะ ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายว่า "ดนตรีคือเสียงที่ประกอบกันเป็นทำนองเพลงเครื่องบรรเลงซึ่งมีเสียงดังทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน หรือเกิดอารมณ์รัก โศก หรือรื่นเริงเป็นต้น ได้ตามทำนองเพลง" ดังนั้น ดนตรีจึงเป็นศิลปะที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยอาศัยเสียงเป็นสื่อในการถ่ายทอดความรู้สึกของศิลปิน ศิลปินถ่ายทอดอารมณ์ลงไปสู่ผู้ฟังได้ดี ดนตรีไม่ว่าชาติใดล้วนมีพื้นฐานมาจากการเรียบเรียงจังหวะ ทำนอง สีสันของเสียงและคีตลักษณ์ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตนไปยังผู้ฟัง ความแตกต่างในรายละเอียดขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละสังคม กรอบของวัฒนธรรมแต่ละสังคมเป็นปัจจัยที่กำหนดรสนิยม และค่านิยมของแต่ละสังคมอีกด้วย


ลักษณะการละเล่นเพลงพื้นบ้านของชาวไทยทรงดำ หรือลาวโซ่ง


บทวิเคราะห์

คุณค่าของเพลง จากบทขับลำนำของไทยทรงดำ ที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นบทขับลำนำที่ได้จากการสัมภาษณ์ นางธนพร สุขสวัสดิ์ ประชาสัมพันธ์กลุ่มทอผ้าบ้านดอนมะนาว ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียงบทขับ จากเนื้อหาของบทขับลำนำ ได้แสดงให้ทราบถึง คุณค่าทางสังคม ด้าน วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม วิถีชีวิต ความเชื่อ และภูมิปัญญาด้านภาษาวรรณกรรม ดังนี้


คุณค่าทางสังคม
ด้านวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม จากบทขับลำนำ ประเพณีการละเล่น"อิ้นกอนฟ้อนแคน"

และประเพณี"การลงข่วง" ตลอดจนพิธีกรรมป้าดตง ของคนโซ่งดอนมะนาว แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชนเผ่ากลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของคนโซ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตใจที่มีมิตรไมตรี ให้ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว ทั้งสองประเพณีนี้จึงนำไปสู่การแต่งงานของคนโซ่งด้วยจิตใจที่มั่นคงต่อกัน ซึ่งผลจากการที่คนโซ่งได้เปิดอิสระเสรีให้แก่ลูกหลานในการเลือกคู่ครองโดยไม่มีการคลุมถุงชน และมิได้หยิบยกเรื่องฐานะหรือชนชั้นมาเป็นอุปสรรคในการเลื


อกคู่ครองของแต่ละฝ่ายแต่ได้มีกระบวนการของจารีตประเพณีเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายทำความรู้จักกันและศึกษานิสัยใจคอซึ่งกันและกัน จึงได้นำไปสู่การสร้างสถาบันครอบครัวที่อยู่ในกรอบของจารีตประเพณีที่ดีงาม ตลอดจนมีการอนุรักษ์วิถีชีวิตและการละเล่นพื้นบ้านของตนไว้อย่างเหนียวแน่น กฎ ข้อห้าม ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวไทยทรงดำ เปรียบเสมือนกับธรรมะในพุทธศาสนา ชาวไทยทรงดำ ยึดความตายเป็นที่ตั้ง จึงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำเป็นสีแห่งความโศกเศร้า แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการแต่งกาย อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยทรงดำ


ด้านวิถีชีวิต ความเชื่อ ชาวไทยทรงดำโดยทั่วไป มีความผูกพันกับเครือญาติและชาวไทยทรงดำด้วยกันเองค่อนข้างสูง การช่วยเหลือ "การเอาแรง" ยังคงอยู่ในวิถีชีวิตไทยทรงดำ และวิถีชีวิตไทยทรงดำจะมีระบบแบบแผนที่แน่นอนในปีหนึ่ง ๆ หลังจากว่างทำไร่ทำนาแล้ว หญิงก็จะทอผ้า ชายก็จะจักสานทำเครื่องใช้ไม้สอยเอง ชาวไทรงทรงดำบ้านดอนมะนาว ยังคงรักษาสืบทอดวัฒนธรรม
ประเพณี พิธีกรรม เช่นพิธีป้าดตง พิธีเสนเฮือน ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ ความเชื่อในเรื่องการให้พรในพิธีกรรมต่างๆ ตลอดจนมีการอนุรักษ์วิถีชีวิตและการละเล่นพื้นบ้านของตนไว้อย่างเหนียวแน่น กฎ ข้อห้าม ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวไทยทรงดำ เปรียบเสมือนกับธรรมะในพุ
ทธศาสนา เป็นการค้นพบด้วยตนเอง เพราะชาวไทยทรงดำในอดีตไม่ได้นับถือศาสนาพุทธเช่นในปัจจุบัน แต่มีความเชื่อนับถือวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว มีแถนเป็นเทวดา มีอำนาจอิทธิพล บารมี กำหนดให้มนุษย์เกิดและตายมีการดำเนินชีวิตที่เป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามความมุ่งมั่นที่บรรพบุรุษไทยทรงดำ มอบให้แก่ลูกหลานคือ ต้องการให้ทุกคนเป็นคนดี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ซึ่งชาวไทยทรงดำบ้านดอนมะนาว มีความเชื่อกันว่า ตนสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษดั้งเดิมสองตระกูล คือ ตระกูล

ผีผู้ต๊าว และตระกูลผีผู้น้อย ตระกูลผีผู้ต๊าวนั้น สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นเจ้านายเป็นชนชั้นปกครอง ในสายตระกูลมีเชิงเดียว(คล้ายแซ่ของคนจีน) คือซิงลอ ผู้ที่เกิดในตระกูลนี้จะถือผีผู้ต๊าวเป็นผีประจำตระกูล ส่วนตระกูลผีผู้น้อยนั้น สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นสามัญ ผู้ที่เกิดในสายตระกูลนี้จะถือผีผู้น้อยเป็นผีประจำตระกูล ชาวไทยทรงดำเชื่อว่าผู้ต๊าวมีศักดิ์สูงกล่าวผู้น้อยและผู้น้อยจะต้องให้ความเคารพยำเกรงแก่ผู้ต๊าว ความเชื่อนี้จะปรากฏในการประกอบพิธีกรรมเซ่นผีเรือน ซึ่งผู้น้อยจะเข้าร่วมพิธีเสนเรือนของผู้ต๊าวไม่ได้ ส่วนในการดำเนินชีวิตนั้น ทั้งสองตระกูลอยู่ด้วยกันอย่างเสมอภาค ชาวทรงทรงดำจะมีการนับถือผี มีการบวงสรวงผีเป็นประจำ เช่น ผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษที่มุมใดมุมหนึ่งในห้องของบ้านจะใช้เป็นที่บูชาผีบรรพบุรุษเรียกว่า "กะล้อห่อง" ชาวไทยทรงดำหากเป็นตระกูลผีผู้น้อยจะมีการเซ่นไหว้หรือเลี้ยงผีทุก ๆ 10 วัน ถ้าเป็นตระกูลผีผู้ต๊าวจะเลี้ยงผีทุก ๆ 5 วัน เรียกการเลี้ยงผีประจำตระกูลนี้ว่า "ป้าดตง" ในหนึ่งปีชาวไทยทรงดำจะมีการเลี
้ยงผีครั้งใหญ่ เรียกว่า พิธีเสนเรือน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้ว โดยเชื่อกันว่า เมื่อเลี้ยงผีแล้วจะช่วยปกป้องคุ้มครองตนให้มีความสุขมีความเจริญก้าวหน้าในการดำรงชีวิต เป็นต้น

ด้านภูมิปัญญา ด้านภาษา วรรณกรรม และเพลงพื้นบ้าน

ชาวไทยทรงดำมีการใช้ภาษาไทยทรงดำตั้งแต่ครั้งที่ตั้งถิ่นฐานอยู่สิบสองปันนาแล้ว และเมื่อไทยทรงดำได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจึงได้นำเอาอักษรและภาษาของตนเองเข้ามาใช้ด้วย เวลาผ่านไปหลายร้อยปี คนไทยทรงดำ ที่หมู่บ้านดอนมะนาว เขียนภาษาลาวโซ่งได้เป็นส่วนน้อย ซึ่งภาษาเขียนจะมีการจดบันทึกไว้ในสมุดไทยต่อๆกันมา โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมต่าง ๆ โดยส่วนมากจะบันทึกไว้ตามผู้ประกอบพิธีกรรมหรือผู้นำหมู่บ้าน ส่วนภาษาพูด จะพูดเฉพาะในเครือญาติเท่านั้น เพราะคนรุ่นใหม่ จะใช้ภาษาไทยกลางเป็นส่วนใหญ่ จะยังคงเหลือภาษาจากวรรณกรรมเพลงพื้นบ้าน บทขับลำนำของไทยทรงดำที่สามารถเขียนเป็นภาษาไทยได้ ดังบทขับลำนำที่ยกตัวอย่างมาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้เรียบเรียงเพลงบทขับลำนำของไทยทรงดำ เป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบ เป็นการแสดงออกถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นของนักปราชญ์ทางภาษากวี ด้านวรรณกรรมท้องถิ่น อย่างแท้จริง

บทสรุปที่ได้จากวรรณกรรม

จากภูมิปัญญาด้านวรรณกรรม "บทขับลำนำของไทยทรงดำ" แสดงให้เห็นถึง คุณค่าทางสังคม ด้าน วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม วิถีชีวิต ความเชื่อ และภูมิปัญญาด้านภาษาและวรรณกรรม ของไทยทรงดำ ที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ มีการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มีกระบวนการหาคู่ครองตามระเบียบแบบแผน หรือการ "อิ้นกอน" วิถีชีวิต ค่านิยม การแต่งกาย การคงเอกลักษณ์ การละเล่นพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่โดดเด่น ควรมีการส่งเสริมให้อนุชนรุ่นหลัง ได้มีการรักษา สืบทอด ภาษาและวรรณกรรมของไทยทรงดำเอาไว้ ทั้งการอ่านและการเขียน การดำเนินวิถีชีวิตของไทยทรงดำบ้านดอนมะนาว จะอยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมความพอเพียง ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของลัทธิบริโภคนิยมนั่งเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวไทยทรงดำบ้านดอนมะนาว จะยังคงรักษา สืบทอด และอนุรักษ์วิถีชีวิตไทยทรงดำแบบดั้งเดิมไว้ได้ในสภาพเดิมหรือใกล้เคียงสภาพเดิมมากที่สุด

บทบาทของวรรณกรรมท้องถิ่น ต่อสังคม วัฒนธรรม ประเพณี


บทขับลำนำของไทยทรงดำ บ้านดอนมะนาว ทุกบท ทุกเพลง มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชุมชนหมู่บ้านดอนมะนาว วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ทั้งบทบาทในด้าน การสร้างความรักความสามัคคีในชุมชนการให้ความบันเทิง การควบคุมสังคม การให้ความรู้ ได้แก่

บทบาทในด้านการสร้างความรักความสามัคคีในชุมชน โดยใช้บทเพลงหรือบทขับลำนำในการละเล่นเพลงพื้นบ้าน ทุกบทขับบทเพลงจะมี
ความหมายในเนื้อร้อง จะมีการละเล่นหรือการแสดงในโอกาสสำคัญๆ เช่น งานประเพณีสงกรานต์ไทยทรงดำบ้านดอนมะนาว จะจัดขึ้นทุกวันที่ 14 เมษายนของทุกปี ชาวไทยทรงดำทั้งหนุ่ม สาว คนแก่ เฒ่า และเด็ก ทุกคนในหมู่บ้านจะมีการแต่งกายที่สวยงามเหมือนกันหมดทุกคน และจะออกมาเล่นคอนฟ้อนแคนกันอย่างสนุกสนาน พร้อมเพรียงกันอย่างสวยงามมาก แสดงให้เห็นถึงความรัก ความสามัคคีในชุมชนอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ชาวไทยทรงดำยังมีการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ด้วยการแสดงการละเล่นเพลงพื้นบ้าน อย่างพร้อมเพรียง แขกบ้านแขกเมืองที่ไปเยือนเกิดความประทับใจ


บทบาทในด้านความบันเทิง บทเพลงพื้นบ้าน หรือบทขับลำนำของไทยทรงดำ จะมีหลากหลายลีลา หลายทำนองของบทขับ ซึ่งจะแสดงหรือขับพร้อมๆกับเสียงแคน ซึ่งจะเป็นดนตรีให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างไพเราะสนุกสนาม ซึ่งจะมีทั้งบทขับที่สนุกสนาน หยอกล้อ หรือบทล่ำลาอย่างอาลัยอาวรจนคนที่จากลาไปต้องน้ำตาไหลรินตามเนื้อของบทขับที่ขับร้องออกไป

บทบาทในด้านการควบคุมสังคม บทขับที่มีการควบคุมสังคม ได้แก่ ไทยทรงดำจะมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มีกระบวนการหาคู่ครองตามระเบียบแบบแผน หรือการ "อิ้นกอน" บทอิ้นกอน บทลงข่วง หนุ่มจะมาเที่ยวบ้านสาว จะต้องมีบทมาเยือนบอกกล่าวเจ้าของบ้าน บทขับที่เจ้าของบ้านจะต้องทักทายและชวนเข้ามาในบ้าน หรือลงข่วงใต้ถุงบ้าน เพื่อทอผ้า หรือปั่นหลอดด้ายตามวิถีชีวิตของไทยทรงดำ ที่แสดงให้เห็นถึง การเกี้ยวพาราสีของหนุ่มและสาว ที่จะต้องปฏิบัติตามจารี ตประเพณีอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดการพอใจระหว่างหนุ่มและสาวที่จะได้ศึกษานิสัยใจคอกันโดย ไม่ต้องคลุมถุงชน แต่จะต้องอยู่ในแบบแผนของวัฒนธรรมประเพณีของไทยทรงดำ ที่จะกระทำเกินเลยมิได้เพราะจะมีการผิดผีตามความเชื่อของบทขับตามพิธีกรรมต่าง ๆ ได้

นอกจากนี้ ยังมีบทบาทในการให้ความรู้ การสั่งสอนให้ประพฤติปฏิบัติให้คนเป็นคนดี มีความเชื่อฟังและปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ของไทยทรงดำ


แนวทางการอนุรักษ์สืบทอด


บริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป อิทธิพลของการศึกษาและการสื่อสารที่พัฒนาขึ้น ทำให้วัฒนธรรมบางอย่างจางหายไป ทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน ตลอดจนบทเพลงพื้นบ้านหรือบทขับลำนำของไทยทรงดำ การเล่นคอนฟ้อนแคน หรือแอ่วลาว หรือกวีลาว ที่หาผู้สืบทอด สืบสาน เรียบเรียง นับวันจะเลือนรางลงไปทุกขณะ และมีแนวโน้มจะสูญหายไปอย่างแน่นอน ควรที่จะมีการส่งเสริมให้อนุชนรุ่นหลัง มีการอนุรักษ์ สืบทอดความคงอยู่ และการเกิดขึ้นใหม่ เพื่อเป็นการรักษาค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี สืบต่อไป ควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีในชุมชนชาวไทยทรงดำอาศัยอยู่ สนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาวัฒนธรรมท้องถิ่นในเรื่องภาษาวรรณกรรม อย่างเร่งด่วน ในส่วนของวิถีชีวิตวัฒนธรรมไทยทรงดำที่ยังสมบูรณ์อยู่ ก็ควรสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ไทยทรงดำเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของท้องถิ่น นอกจากนี้ ควรสนับสนุนส่งเสริมการจัดงานประเพณีต่างๆ ของชาวไทยทรงดำเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม การละเล่น ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยทรงดำให้เป็นที่รู้จักทั่วไป ก่อให้เกิดการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมและสร้างรายได้จากการขายสินค้าเครื่องแต่งกายของไทยทรงดำ ที่ทอขึ้นเองและจำหน่ายเป็นสินค้า OTOP ของชุมชน ซึ่งปรัชญาการดำรงชีวิตของไทยทรงดำที่บรรพบุรุษชาวไทยทรงดำได้ สั่งสมคำสอนและปรัชญาการดำรงชีวิตไว้ในเครื่องแต่งกายเอาไว้และตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในปัจจุบัน.